วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ความแตกต่างของ Social Media และ Industrial Media

          Industrial Media ( “traditional”, “broadcast” หรือ “mass” media ) หรือสื่อกระแสหลักนั้นได้แก่สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อทั่วไปที่ต้องลงทุนสูงและทำงานเป็นระบบนั่นเอง สื่อหลักเหล่านี้มีความรับผิดชอบด้วย Model Business ที่ run บนความเชื่อมั่นในสื่อ ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่ต้องมีที่มาและมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ส่วน Social Media นั้น Vary ความเชื่อมั่นตั้งแต่คนทั่วไปสามารถผลิตสื่อได้เลยโดยแทบไม่ต้องลงทุนและบางคนไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลอ้างอิงครบก็สามารถพูดได้เลยก็มีจนไปถึงคนดังๆที่ต้องมีการ research ก่อนพูด ส่วนความสามารถในการเข้าถึงคนจำนวนมากระหว่างสื่อทั้งสองอย่างนั้นในประเทศไทยก็ใกล้เคียงกันขึ้นเรื่อยๆแล้ว ทั้ง Industrial และ Social Media นั้นมีสิทธิ์ที่จะไม่มีคนมาดูเลยหรือมีคนมาดูเป็นหลักแสนได้เหมือนกัน

          จุดทีแตกต่างอย่างมากก็คือ Social Media นั้นปัจจุบันสามารถแพร่ออกไปได้เร็วกว่าสื่อกระแสหลักเสียด้วยซ้ำ ในสมัยก่อนสมมติว่าเกิดเหตการณ์ A ขึ้น สื่อหลักจะมีนักข่าวที่ไปทำการเก็บภาพและสัมภาษณ์พยานในที่เกิดเหตุ แต่ในปัจจุบันยุคที่พยานทั้งหลายต่างมีโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปได้และสามารถส่งรูปพร้อมข้อความออกไปได้ในทันทีนั้น ผู้บริโภคสื่อจะได้ข้อมูลที่เร็วกว่าโดยที่มีข้อแลกเปลี่ยนตรงต้องใช้วิจารณญาณในการกรองข้อมูลเอง ในขณะที่ผู้สื่อข่าวถ้าไม่ได้อยู่ในเหตการณ์ก็เปรียบเหมือนได้ข่าวมือสองไปนั่นเอง กว่าภาพข่าวจะออกข่าวก็ล้าสมัยไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อมีสื่อมากขึ้นมหาศาล ผู้คนก็จะพยายามสร้างระบบจัด Category ของผู้นำเสนอข่าวว่าคนๆนี้ชอบพูดเรื่องใดและเชี่ยวชาญเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่นถ้ามีโปรแกรมเมอร์ที่ไม่เคยคุยเรื่องรถยนต์คนนึงเกิดพูดเรื่องรถยนต์ออกมาในบล็อกก็น่าจะได้ความน่าเชื่อถือต่ำกว่าคนที่คร่ำหวอดเรื่องรถมานานนั่นเอง รวมทั้ง Google เองก็พยายามที่จะทำความเข้าใจจากการ Reference โดยคนอื่นๆใน Category ต่างๆด้วยนั่นเอง
         
          ข้อแตกต่างต่อมาคือ สื่อหลักมักจะไม่สามารถที่จะ Update ข้อมูลเดิมได้สะดวกนักโดยถ้าประกาศออกไปแล้วทุกคนก็จะรับรู้การประกาศนั้นครั้งเดียว ในขณะที่สื่อ Social สามารถปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมได้ทั้งจาก Comment และการ edit ข้อมูลเพิ่มเติมโดยไม่ต้องมีต้นทุนใดๆ อย่างไรก็ตาม Industrial Media ก็พยายามปรับปรุงผสมกันทั้ง Social โดยมีนักข่าวมือสมัครเล่นร่วมกับการประกาศผ่านระบบหลัก ( industrial media frameworks) แต่ผมเห็นว่าทำได้ค่อนข้างยากเพราะมี Conflict of Interest เกิดโดยธรรมชาติระหว่าง “การได้รับการยอมรับในนามองค์กร”กับ”การได้รับการยอมรับในตัวบุคคล” สำหรับในยุคปัจจุบันอยู่แล้ว

Social Media


           คือโครงข่ายการสร้าง Media ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยคนที่สร้างสื่อใช้ความสามารถในการเข้าถึงได้ง่ายของอินเตอร์เน็ท ความจริงแล้ว Social Media เกิดขึ้นเพราะความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในความเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการการปฎิสัมพันธ์กันและต้องการความเห็นกันนั่นเอง ในครั้งแรกนั้นเกิดจากยุคเว็บ 2.0 ( จาก broadcast media monologues : one to many เป็น social media dialogues :many to many ) และเมื่อเกิด media จำนวนมากก็จะเกิดสถิติของแต่ละ Category ,เกิดกลุ่มผู้เสพสื่อแต่ละCategory และการคัดเลือกคุณภาพ Media ตามธรรมชาติ




          ถ้าพูดให้ง่ายขึ้นก็คือยุคนี้เราไม่ได้ต้องการตัดสินใจอะไรจากสื่อๆสื่อเดียวแล้ว เราฟังข่าวแต่เพียงด้านเดียวจากทีวีและหนังสือพิมพ์มานาน เราเบื่อคำว่า Super ,Extra Ordinary , Award winning หรือคำพร่ำพรรณาเชิง Marketing จากโฆษณาของผู้ผลิต แต่เราอยากอ่านความคิดเห็น และสอบถามความรู้สึกของคนที่เคยมีประสบการณ์จากมันมากกว่า นั่นคือมุ่งไปทาง Social Media มากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

ประเภทของโดเมนเนม



                โดเมนเนม เป็นชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ซึ่งจะไม่ซ้ำใครในโลก มีการแบ่งโดเมนเนมเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของมันได้แก่   โดเมนเนม 2 ระดับและโดเมนเนม 3 ระดับ 
                
            โดเมเนม 2 มีลักษณะดังนี้ 
เช่น  successmedia.com
          สำหรับตัวย่อที่อยู่หลังเครื่องหมายจุดในโดเมนเนม คือคำย่อขององค์กร 
.com ย่อมาจาก commercial   สำหรับ ธุรกิจ 
.edu  ย่อมาจาก education     สำหรับ การศึกษา 
.int   ย่อมาจาก International Organization สำหรับ องค์กรนานาชาติ 
.org  ย่อมาจาก Organization สำหรับ หน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร 
.org  ย่อมาจาก Organization สำหรับ หน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร

         โดเมนเนม 3 ระดับ จะมีรูปแบบ เช่น success.co.th
       โดยคำย่อในส่วนที่ 2 หลังเครื่องหมายจุดใช้ระบุประเภทขององค์กรแต่มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากคำย่อที่ใช้ในโดเมนแนม 2 ระดับ

.ac.th ย่อมาจากAcademic Thailand 
สำหรับ สถานศึกษาในประเทศไทย 

.co.th ย่อมาจากCompany Thailand 
สำหรับ บริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศไทย 

.go.th ย่อมาจากGovernment Thailand  
สำหรับ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล 

.net.th ย่อมาจากNetwork Thailand   
สำหรับ บริษัทที่ทำธุรกิจด้านเครือข่าย 

.or.th ย่อมาจากOrganization Thailand
 สำหรับ หน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร 

.in.th ย่อมาจากIndividual Thailand   
สำหรับ ของบุคคลทั่วๆ ไป
                
        เว็บที่ได้รับความนิยมมากคือ เว็บ google.com แล ะyahoo.com โดยเว็บ gooogle.com เป็นเว็บที่ใช้เคื่รองมือในการค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถค้นหาข้อมูลได้เร็วที่สุด ในปี 2006 google ได้รวม Gmail ,google calendar,google talk และ page creator ไว้ในระบบด้วย สำหรับเว็บ yahoo.com  เป็นเว็บยอดนิยมอีกเว็บหนึ่งเว็บนี้มีการพัฒนามานานสามารถใช้ค้นหาข้อมูลได้เช่นกัน และเป็นเว็บที่บริการอีเมล์อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาโฮมเพจ


        การสร้างเว็บเพจเมื่อเรามีพื้นฐานด้านภาษา HTML ดีแล้วการจะใช้เครื่องมือสำเร็จรูปมาช่วยสร้างก็จะเป็นการประหยัดเวลาได้มาก โปรแกรมสร้างเว็บเพจจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ

                1.  โปรแกรมในกลุ่ม Text Editor หมายถึงโปรแกรมที่เน้นในการใช้ภาษา HTML เป็นหลัก ผู้ใช้จะต้องมีความเข้าใจในการใช้งาน จดจำคำสั่ง รูปแบบของคำสั่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ Notepad, Homesite, CoffeeCup, EditPlus, HotDog Pro, 1st Page 2000 เป็นต้น คุณสมบัติที่ดีของโปรแกรมกลุ่มนี้คือขนาดไฟล์ที่ได้จะเล็ก และตรงกับความต้องการของผู้ออกแบบมากที่สุด
                2.  โปรแกรมในกลุ่ม WYSIWYG (What You See It What You Get) หมายถึงโปรแกรมที่คุณมองเห็นอย่างไรในขณะกำลังสร้างก็จะได้ผลของเว็บเพจอย่างนั้น ผู้ใช้งานไม่ต้องรู้ภาษา HTML มากนักก็ได้ ขอให้ออกแบบ/วางแผนได้ดีก็สามารถสร้างเว็บสวยๆ ได้ง่ายๆ โปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ MS FrontPage, DreamWeaver, Namo WebEditor ผลที่ได้จากโปรแกรมเหล่านี้มักจะได้ไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้การแสดงผลจริงช้า ถ้าผู้ออกแบบมีความเข้าใจภาษา HTML ก็จะสามารถนำโปรแกรมในกลุ่มแรกมาช่วยในการแก้ไขไฟล์ในส่วนที่ซ้ำซ้อน ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงได้

ศัพท์ที่ควรรู้ในการสร้างเว็บ

            ก่อนที่จะเริ่งสร้างเว็บเพ็จแบบง่าย ๆ ต้องเรียนรู้ศัพท์ที่น่าจะได้เจอในเรื่องการใช้งานและการสร้างเว็บ   ดังนี้
1.เว็บเพจ (Webpage) คือ หน้าเว็บที่เราเห็นเมื่อใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์เปิดเว็บไซต์ขึ้นมา อาจกล่าวได้ว่าเว็บเพจก็คือ ไฟล์ 1 ไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น *.htm หรือ * .html
2.เว็บไซต์ (WebSite) ประกอบด้วยเว็บเพจหลายหน้า โดยเว็บเพจแต่ละหน้าจะอยู่ภายใต้ชื่อหนึ่งชื่อที่เหมือนกัน เช่น เว็บไซต์ http://www.infopress.co.th/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์อินโฟเพรส และ DEV Book
3.โฮมเพจ (Homepage) คือเว็บเพจหน้าแรกของเว็บไซต์ใด ๆ แต่คนไทยมัดจะพูดกันจนติดปากในความหมายว่าโฮมเพจก็คือ เว็บไซต์ส่วนตัวของคน ๆ หนึ่ง
4.Static Web Page  เป็นหน้าเว็บเพจที่มีความสามารถเพียงแสดงข้อความ hypertext เท่านั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลให้สอดคล้องกับผู้ใช้แต่ละคนได้
5.Dynamic Web Page เป็นเว็บเพจที่มีชุดคำสั่ง (Instruction) ที่เรียกว่า โปรแกรม Script” สามารถตอบสนองการกระทำต่างๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ใช้  สามารถควบคุมหรือกำหนดการทำงานในรูปแบบต่างๆ ดึงข้อมูลมาจากฐานข้อมูลตามที่ผู้ใช้ต้องการ, รับข้อมูลจากผู้ใช้แล้วเก็บบันทึกในฐานข้อมูล, นับจำนวนผู้ใช้, แสดงวัน/เวลาที่ปรับเปลี่ยน เมื่อผู้ใช้เลื่อนเมาส์ไปอยู่เหนือบางข้อความ ก็จะมีเอฟเฟ็คบางอย่างเกิดขึ้น
6.เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) ทำหน้าที่เก็บเว็บไซต์ และให้บริการเกี่ยวกับเว็บตามที่เว็บราวเซอร์ร้องขอข้อมูลมา
7.เว็บบราวน์เซอร์ (Web Browser) คือ โปรแกรมที่ใช้เปิดเว็บเพจเรียกสั้น ๆ ว่า บราวเซอร์มีหน้าที่ติดต่อกับเว็บเซิร์ฟเวอร์เพื่อขอข้อมูลที่ต้องการมาแสดงที่หน้าจอของโปรแกรม ตัวอย่างของโปรแกรมประเภทนี้ได้แก่ Microsoft Internet Explorer โปรแกรม Netscape Navigator และโปรแกรม Opera
8.ชื่อโดเมน (Domain Name) ชื่อที่ใช้แทนการเรียกหมายเลข IP เนื่องจาก หมายเลข IP จดจำยาก ไม่สามารถสื่อความหมายถึงชื่อขององค์กรที่เป็นเจ้าของ Web site ได้  202.12.97.2 จำยาก www.kku.ac.th จำได้ง่ายกว่า
9.ลิงค์ (Link) คือ ส่วนของเว็บเพจที่เราสามารถคลิกเพื่อเปิดเว็บเพจหรือเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมาแทนที่เว็บไซต์หน้าปัจจุบันได้ โดยสามารถเป็นได้ทั้งตัวอักษร ข้อความ หรือแม้แต่รูปภาพ
10.HTML เป็นภาษาที่ใช้สำหรับสร้างเว็บเพจ โดยไฟล์ซึ่งภายในเป็นตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา HTML นั้นเราจะเรียกว่าไฟล์ HTML และเราอาจจะเรียกไฟล์ HTML ว่าเป็บเว็บเพจได้
11.HTT ชื่อโปรโตคอลซึ่งเป็นข้อกำหนดในการส่งข้อมูลของเวิลด์ไวด็เว็บ โดยเราจะเห็นว่าต้องพิมพ์คำว่า http://นำหน้าชื่อ URL เมื่อจะเปิดเว็บเสมอ เพื่อบอกให้บราวเซอร์ร้องขอบริการเว็บจากเว็บเซิร์ฟเวอร์นั่นเอง (แต่ปัจจุบันบราวเซอร์จะแทรกให้โดยอัตโนมัติถึงแม้จะพิมพ์แต่ URL อย่างเดียว)
12.เว็บมาสเตอร์ (Webmaster) เป็นชื่อเรียกผู้ดูแลเว็บไซต์
13.ดาวน์โหลด (Download) เป็นการคัดลอกข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
14.อัพโหลด (Upload)ป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับการดาน์โหลด นั่นคือ เป็นการคัดลอกข้อมูลจากเครื่องของเราไปยังเซิร์ฟเวอร์
15.แบนเนอร์ (Banner) เป็นรูปภาพที่ปรากฏบนเว็บเพจเพื่อแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของเว็บไซต์หรือเพื่อโฆษณาสินค้าหรือบริการปกติจะเป็นรูปภาพเคลื่อนไหวเพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเว็บ
16.ลงทะเบียน (Register) หมายถึง การที่เรากรอกข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปในแบบฟอร์มบนเว็บเพื่อจะได้มาซึ่งบริการ หรือสิทธิพิเศษที่ทางเว็บไซต์นั้นมีให้

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

World Wide Web และ ส่วนประกอบของ WWW



World Wide Web(WWW) คืออะไร?
         เกิดขึ้นในปี 1989 โดย Tim Berners-Lee แห่งห้องปฏิบัติการ CERN เป็นบริการหนึ่งที่มีอยู่ในอินเตอร์เน็ต ทำให้การใช้งานอินเตอร์ง่ายขึ้น ผู้ใช้ไม่ต้องจดจำคำสั่งของยูนิกซ์อีกต่อไป เป็นการแสดงเอกสารที่อยู่ในรูปของสื่อผสม(Multimedia) ที่เรียกว่าเว็บเพจ(Web Page) ที่ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีโอ และไฮเปอร์เท็กซ์(Hypertext)



 ส่วนประกอบของ WWW
           แหล่งข้อมูลหรือเว็บไซต์(Web Site)
          โปรแกรมเว็บบราวเซอร์(Web Browser)
          เว็บไซต์หรือเว็บเซิรฟ์เวอร์ เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นแหล่งเก็บ เว็บเพจ เว็บบราวเซอร์ หรือเว็บไคลเอ็นต์ เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเข้าสู่ WWW เพื่อเปิดดูเว็บเพจในเว็บไซต์


ประโยชน์ของการใช้อินเตอร์เน็ต


               อินเตอร์เน็ต คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ครอบคลุมไปทั่วโลกพร้อมกับมีข้อมูลมหาศาลทุกประเภทให้เราค้นคว้า และรับส่งข้อมูลไปมาระหว่างกันได้  ซึ่งจะขอยกตัวอย่างประโยชน์ของการใช้งานอินเตอร์เน็ตด้านต่าง ๆ ให้เห็นพอสังเขป
             ในด้านการศึกษา เราต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการจากที่ต่าง ๆ ซึ่งในกรณีนี้อินเตอร์เน็ตจะทำหน้าที่เหมือนกับห้องสมุดขนาดยักษ์ที่จะส่งข้อมูลที่เราต้องการมาให้ถึงบนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือที่ทำงานของเราแค่ไม่กี่วินาทีจากแหล่งข้อมูลทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม สังคมศาสตร์ กฎหมายและอื่นๆอีกมากมายได้
              ประโยชน์การรับส่งข่าวสาร ผู้ใช้ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตสามารถรับส่งจดหมายอิเล็กตรอนิกส์ หรือ E-mail กับผู้ใช้คนอื่นๆทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็วได้โดยค่าใช้จ่ายต่ำมาก นอกจากนี้ยังอาจส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แฟ้มข้อมูล รูปภาพ ข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ที่เป็นภาพและเสียงได้อีกด้วย
             สำหรับด้านธุรกิจและการค้า ช่วยในการซื้อขายสินค้าผ่านคอมพิวเตอร์เราสามารถเลือกดูสินค้าพร้อมคุณสมบัติผ่านจอคอมพิวเตอร์ของเรา และสั่งซื้อ และจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตได้ทันทีซึ่งนับว่าเป็นความสะดวกสบาย และรวดเร็วมากสินค้ามีจำหน่ายทุกประเภทเหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เลยทีเดียว
           นอกจากนี้ผู้ใช้ทีเป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการหรือสนับสนุนลูกค้าของตนผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น การตอบคำถามหรือข้อสงสัยต่าง ๆให้คำแนะนำรวมถึงข่าวสารใหม่ๆแก่ลูกค้าได้
          ประโยชน์อินเตอร์เน็ตที่ผู้ใช้กันมากที่สุดอีกอย่างหนึ่ง คือ ความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจหรือสันทนาการ เช่น เลือกอ่านวารสารต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า magazine แบบ online รวมถึงหนังสือพิมพ์ และข่าวสารอื่น ๆ โดยมีภาพประกอบบนจอคอมพิวเตอร์เหมือนกับหนังสือปกติที่เราดูอยู่กันทุกวัน